หนูหริ่งที่รัก
เรื่องราวระหว่างหญิงสาวกับสัตว์เลี้ยงที่รัก ที่สุดท้ายแล้วก็ต้องมีวันพลัดพราก
ผู้เข้าชมรวม
172
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
มันคือเช้าวันหนึ่งหลังจากที่ ทีด้า พุดเดิ้ลตัวแรกที่ฉันเลี้ยงได้จากฉันไปด้วยอุบัติเหตุรถทับทั้ง ๆ ที่ยังตั้งท้องอยู่ไป 7 วัน ลูกสุนัขสีขาวตัวน้อยได้วิ่งลงมาจากรถต้นเหตุเพื่อเป็นการไถ่โทษ ถึงแม้ว่าใคร ๆ ก็รู้ว่า ชีวิตมันทดแทนกันไม่ได้ แต่เจ้าตัวน้อยนี้ก็ต้องการคนดูแล ฉันจึงยอมรับมันไว้...
ฉันทำงานเป็นพี่เลี้ยงให้กับบ้านตระกูลวิริยาปกรณ์มาเป็นเวลานานตั้งแต่อายุ 24 ก่อนที่คุณหนูเล็กจะเกิดไม่กี่เดือน คุณหนูเล็กได้แต่ร้องไห้ที่วันนั้นเธอไม่ยอมวิ่งไปห้ามสุนัขสุดที่รักจากการวิ่งออกไปนอกบ้าน และเฝ้าโทษตัวเองมาตลอดทั้งที่ยังอายุเพียง 11 ปีเท่านั้น เธอยอมรับไม่ได้ที่จะมีสุนัขตัวอื่นมาแทนที่มัน เธอได้แต่พร่ำว่า
"ไม่เห็นเหมือนทีด้าเลย... "
เธอตั้งชื่อให้เจ้าตัวน้อยนี่ว่า หนูหริ่ง เพราะมันมีสีขาวและไม่เหมือนสุนัขเอาเสียเลย จากนั้นคุณหนูก็ละทิ้งมัน 2 เดือนเต็ม ๆ กว่าที่คุณหนูจะทำใจได้ว่าทีด้าจะไม่มีวันกลับมาแล้ว ฉันจึงต้องรับผิดชอบเลี้ยงมัน
หนูหริ่งเป็นตัวเมีย และมันก็ทำตัวได้เหมือนหนูสมชื่อจริง ๆ มันกัดรองเท้าของคุณผู้ชายเกือบทุกคู่ที่ถูกถอดทิ้งไว้หน้าประตูโดยไม่เก็บเข้าชั้น รองเท้าส้นสูงของคุณผู้หญิง แล้วรวมถึงรองเท้าของคุณหนูใหญ่อีกหลายคู่ นอกจากนี้ มันยังถ่ายไม่เลือกที่ และวิ่งไวยิ่งกว่าหนูจริง ๆ เสียอีก ไม่มีอะไรที่จะทำให้มันหยุดได้เลย นอกจาก... ไก่ย่าง
ฉันให้อาหาร อาบน้ำ ทำความสะอาด และสั่งสอนมันจนมันเป็นสุนัขที่ดี มันน่ารักมาก หนูหริ่งเป็นเสมือนลูกน้องที่ตามฉันต้อย ๆ อยู่ตลอดเวลาไม่เคยห่าง ไม่ว่าฉันจะไปถูบ้าน เตรียมกับข้าว ล้างจาน แม้กระทั่งเข้าห้องน้ำ เราไม่เคยห่างจากกันเลย เรากินด้วยกัน นอนด้วยกันเสมอ ยกเว้นแต่วันที่ออกไปซื้อกับข้าวนอกบ้านเท่านั้น ที่จำเป็นจะต้องทิ้งมันไว้ที่บ้าน
5 ปีผ่านไป ไวเหมือนโกหก ตอนนี้หนูหริ่งอ้วนท้วนสมบูรณ์จนแทบจะเดินไม่ไหว เพราะขาตัน ๆ ของมันทั้งเล็กทั้งสั้น แต่มันก็ยังคิดว่ามันวิ่งได้ วันหนึ่ง มันออกไปเดินเล่นกับฉันในหมู่บ้านโดยไม่มีเชือกล่าม เหมือนกับวันอื่น ๆ เพราะมันมักจะเดินใกล้ ๆ ฉันเสมอ และแล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น มีรถเลี้ยวมาจากหัวมุมแล้วชนหนูหริ่งเข้าอย่างจัง!
"เอ๋ง!"
หนูหริ่งกลิ้งกระเด็นไปด้านข้าง ฉันรีบวิ่งตามไปดูมันในทันที มันจะตายเหรอ ไม่นะ อย่านะ และแล้วฉันก็โล่งอกขึ้นมาเล็กน้อยที่เห็นมันยังคงหายใจอยู่ ไม่มีเลือดออกจากส่วนไหนเลย แต่มันก็ยังคงนอนนิ่งอยู่อย่างนั้น เจ้าของรถคันนั้นรีบวิ่งลงมาดู แล้วเสนอตัวที่จะพามันไปส่งคลีนิคสัตวแพทย์ ฉันตอบตกลง แต่ขอให้เขาไปที่บ้านเพื่อรับคุณหนูเล็กไปด้วยกัน ทันใดนั้นหนูหริ่งก็ลุกขึ้นยืนแล้วเลียมือฉันเหมือนกับจะบอกว่า
"ไม่เป็นไรนะ หนูสบายดี"
แล้วมันก็ค่อย ๆ เดินไปทางกลับบ้าน ฉันค่อย ๆ อุ้มมันขึ้น
"ขึ้นรถแล้วกันนะหนูหริ่ง"
แล้วรถก็พาฉันกับหนูหริ่งมาส่งที่บ้าน คุณหนูเล็กยังไม่กลับมา ฉันจึงบอกกับเจ้าของรถไปว่า ไม่เป็นไร จะรอจนกว่าคุณหนูเล็กจะมาแล้วค่อยไปคลีนิค
"หนูหริ่งเดินไหวรึเปล่า"
มันกระดิกหางตอบรับ แล้วค่อย ๆ เดินกระเผลกเข้าไปในบ้านอย่างทุลักทุเล พอถึงที่ทางเดิน มันก็นอนกางขาออก เอาพุงพลุ้ย ๆ ของมันติดพื้นเผละ แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ เหมือนกับจะพูดว่า
"เฮ้อ... เหนื่อยจัง"
พอคุณผู้หญิงกับคุณหนูเล็กกลับมาบ้าน ฉันจึงเล่าเหตุการณ์รถชนให้ฟัง และรีบพาหนูหริ่งไปหาหมอ หมอฉีดยาให้ 2 เข็ม และบอกว่า
"มันไม่ได้เป็นอะไรมากนะครับ ถือว่าโชคดีมาก ๆ เลย แค่นี้ก็กลับได้แล้วล่ะครับ"
"แล้วขามันไม่หักเหรอคะ" คุณหนูเล็กถาม
"ไม่หรอกครับ แค่เจ็บชั่วคราวเท่านั้น อีกไม่นานก็หายครับ"
"ขอบคุณค่ะคุณหมอ"
พอเอาหนูหริ่งลงมาจากโต๊ะหมอเท่านั้นแหละ มันก็รีบวิ่งไปทางประตูทางออก จากนั้นก็วิ่งวนรอบขาฉันอย่างกระสับกระส่าย แล้วก็นั่งหลับอยู่ที่หลังขานั่นเอง พร้อมกับเลียส้นเท้าฉันไม่หยุด ราวกับจะบอกว่า
"ฉีดยาเมื่อกี๊เจ็บมากเลย รีบกลับบ้านกันเถอะนะ นะ"
หลังจากนั้น 2 ปี มันก็ไม่เคยมีประจำเดือนแบบสุนัขทั่วไปอีกเลย เราเดากันเองว่า จากเหตุการณ์ครั้งนั้นคงทำให้มันเป็นหมันไปโดยอัตโนมัติ มันร่าเริงทุกวันแต่ก็เหมือนเจ็บทุกครั้งที่มีคนกอดหรือตอนมันวิ่งขึ้นบันได เราได้แต่สันนิษฐานว่าเพราะว่ามันอ้วนเกินไป มันเลยเป็นอย่างนี้ ก็มันหนักตั้ง 20 กิโลกรัมนี่นา
ในปีนั้น คุณหนูเล็กถูกส่งให้ไปเรียนเมืองนอก 1 ปีเต็ม จึงเหลือแต่ฉันที่ดูแลหนูหริ่ง ในแต่ละวันมีแต่อะไรแปลก ๆ เดี๋ยวมันก็มีหนองไหลออกมาจากช่องคลอด เดี๋ยวมันก็นอนซึม แต่เพราะคุณหนูเล็กที่เป็นเพียงคนเดียวที่สนใจทุกข์สุขของมันไม่อยู่ และเงินเดือนของฉันก็มีไม่มากพอที่จะจ่ายค่าหมอให้มัน จึงไม่มีใครพามันไปหาหมอ สำหรับคนอื่น มันยังดูเหมือนร่าเริงแจ่มใส กระดี๊กระด๊าอยู่ทุกวัน จึงไม่มีใครเอะใจ จนกระทั่ง 3 เดือนให้หลัง มันเริ่มจะเดินไม่ไหวเอาเสียจริง ๆ ฉันเล่าให้คุณผู้หญิงฟังถึงอาการของมัน คุณผู้หญิงจึงพาหนูหริ่งไปตรวจโดยพาฉันไปด้วย
"เสียใจด้วยครับ..."
"อะไรคะหมอ" คุณผู้หญิงถาม
"ชื่อหนูหริ่ง ใช่ไหมครับ"
"ใช่ค่ะ ตกลงมันมีอะไรเหรอคะ"
"หนูหริ่ง เป็นมดลูกอักเสบครับ รู้สึกว่าจะเป็นมาได้นานเป็นปีแล้วนะครับ"
"แล้วต้องทำยังไงคะ ต้องรักษายังไงคะ ต้องผ่าตัดไหมคะ" ฉันถามด้วยความกระวนกระวายใจ
"เสียใจด้วยครับ" หมอตอบ "มันอักเสบจนถึงขั้นสุดท้ายแล้วครับ คงรักษาไม่ได้แล้ว ถึงจะผ่าตัดก็เสี่ยงต่อการที่มันจะช็อค ผมเสียใจด้วยจริง ๆ ครับ..."
"ทำอะไรไม่ได้เลยจริง ๆ เหรอคะ" คุณผู้หญิงถามย้ำอีกครั้ง
"ครับ"
ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว... คำนี้มันวนเวียนอยู่ในหัว ซ้ำไป... ซ้ำมา จนฉันจะเป็นลม ร่างสีขาวอ้วน ๆ ที่นอนอยู่บนโต๊ะหมอมองมาทางฉันด้วยสายตาเลิ่กลั่ก เหมือนกับกลัวว่าหมอจะมาฉีดยาให้ แต่ก็ไม่มีแรงดิ้น ลมหายใจถี่ขึ้นเรื่อย ๆ ตามความเร็วการเต้นของหัวใจ ส่วนฉันได้แต่ยืนนิ่งมองเจ้าตัวหนัก พร้อมกับพยายามกลั้นน้ำตา
หมดเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันแล้วเหรอ...
ฉันยื่นมือไปลูบหัวมันเบา ๆ เพื่อให้มันอุ่นใจ แล้วบอกกับมันว่า
"ไม่โดนฉีดยาหรอก กลับบ้านกันเถอะ"
หนูหริ่งกระดิกหางด้วยความดีใจ มันทำท่าเหมือนกับจะกระโดดโหยงขึ้นมา แต่แล้วด้วยน้ำหนักตัวของมัน ทำให้มันล้มกลับลงไปนอนแหมะอีกครั้ง ฉันหัวเราะพร้อมทั้งกอดมันไว้ ในใจคิดว่า น่าเสียดายที่คุณหนูเล็กจะไม่ได้เห็นมันอีกแล้ว น้ำตากำลังจะไหลอีกครั้ง ฉันอุ้มมันลงจากโต๊ะแล้วพามันไปขึ้นรถของคุณผู้หญิง
หมอให้ยามาสองสามตัวเพื่อยืดชีวิตของมันออกไปอีกหน่อย แต่ถึงจะให้กินสักเท่าไรก็คงไม่มีประโยชน์มากนัก
หนูหริ่งกำลังจะจากไป...
ฉันต้องทำใจให้ยอมรับการสูญเสียอีกครั้งหรือนี่ ถึงแม้ว่าในใจก็รู้ว่า ไม่ช้าก็เร็ว วันอย่างนี้ก็ต้องมาถึง แต่ก็ยังทำใจไม่ได้ ทำไมถึงรวดเร็วขนาดนี้... 7 ปีมันสั้นเกินไป และแล้วน้ำตาก็ไหลพรากออกมา หนูหริ่งกระดิกหางราวกับจะรับรู้ว่าตอนนี้ฉันกำลังร้องไห้ มันค่อย ๆ เดินกระเสาะกระแสะมาหาฉัน และเลียที่ส้นเท้าเป็นการปลอบโยน
"ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร"
หนูหริ่งเริ่มกินอาหารน้อยลง น้อยลงทุกที วัน ๆ กินแต่น้ำเท่านั้น แล้วก็นอนอยู่แต่ในห้อง แต่ก็ยังพอเดินได้อยู่เล็กน้อย จนกระทั่งคืนวันหนึ่ง...
"หนูหริ่ง มานี่มะ มามะ" ฉันเรียก
หนูหริ่งได้แต่กระดิกหาง แต่ร่างกายส่วนอื่น ๆ ไม่ขยับอีกแล้ว แม้จะยกหัวขึ้นมามองก็ไม่ได้อีกต่อไป แต่มันก็ยังส่งสายตามาให้ราวกับรับรู้ ฉันรู้ได้ในทันทีว่า
นี่คือวันสุดท้ายแล้ว...
ฉันค่อย ๆ นั่งลงข้าง ๆ มันแล้วลูบหัวมันเบา ๆ มันเลียมือฉันเหมือนกับต้องการจะตอบรับการเรียกเมื่อครู่
"หนูหริ่ง... ฉันรักแกนะ"
มันเลียฉันอีกครั้งพร้อมกระดิกหางเป็นการตอบรับ ตอนนี้มันลุกขึ้นไม่ได้อีกแล้ว ลมหายใจเอื่อย ๆ บอกให้ฉันรู้ว่า เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว ฉันพยายามตื่นเพื่อใช้เวลาช่วงสุดท้ายกับมันให้นานที่สุด ความทรงจำตั้งแต่วันแรกที่มันมาที่บ้านจนถึงวันนี้ ย้อนกลับมาให้ฉันได้นึกถึงอีกครั้ง ฉันฝืนหลับไปได้อีกสักพักก็ง่วงและผล็อยหลับไป
และแล้ว เสียงถอนหายใจของสุนัขอ้วนก็ดังขึ้น แล้วมันก็ไม่ขยับอีกเลย
หนูหริ่งได้จากไปแล้ว...
ฉันตื่นขึ้นมาตอนเช้าตรู่ บัดนี้... ร่างของมันแข็งทื่อ ตาหลับ ปากของมันอ้าออกเล็กน้อย ลิ้นห้อยกองอยู่บนพื้น จมูกแห้งผาก ฉันไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟาย มีเพียงน้ำตาเท่านั้นที่ไหลลงมาเป็นสาย ไม่มีแม้เสียงสะอื้น มันจากไปแล้วจริง ๆ ฉันออกไปเอาถุงดำ ค่อย ๆ อุ้มมันลงถุง
"หนักจริงเลยนะ หนูหริ่ง" ฉันหัวเราะทั้งน้ำตา
ฉันแบกถุงหนักร่วม 20 กิโลกรัมนั่นมาที่สวนหลังบ้าน แล้วก็เอาจอบมาขุดหลุมให้มัน ฉันบรรจงกลบหลุมดินที่ภายใต้มีเจ้าตัวขาวขาตันอยู่ น้ำตาได้เหือดแห้งไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรเหลืออยู่อีกแล้ว มีเพียงขนสีขาวที่ร่วงติดอยู่เต็มเสื้อผ้าและใต้เตียง และรอยเลียครั้งสุดท้ายที่มันให้ไว้กับฉัน
"ขอบคุณนะ... เจ้านาย หนูรักเจ้านายนะ..."
ผลงานอื่นๆ ของ Parody ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Parody
ความคิดเห็น